สงครามการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจ “สหรัฐ-จีน” กำลังระอุไปทั่วโลก หลังจากสหรัฐประกาศขึ้นภาษีสินค้าจีน ส่งผลให้หลายฝ่ายคาดว่า “ไทย” จะกลายเป็นขุมทรัพย์การลงทุนแห่งใหม่ของนักลงทุนต่างชาติ และนักลงทุนจีนที่ขยายฐานการลงทุนออก สร้างความเชื่อมโยง “ห่วงโซ่ซัพพลายเชน” เชื่อมต่อกับอาเซียน ไปยังภูมิภาคต่าง ๆ
เป้าหมายการจัดงานประชุม
การประชุมความร่วมมือเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และวัฒนธรรมครั้งนี้ สภา RCEP เป็นหน่วยงานที่ต้องการเสริมสร้างความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน จึงได้นำนักธุรกิจจีนระดับกลางที่เป็นเจ้าของธุรกิจเกือบทุกแขนง รวมถึงข้าราชการระดับนายอำเภอที่เรียกว่านายกเทศมนตรีเมืองมาด้วย
“ผู้ประกอบการชุดนี้สนใจมาหาลู่ทางการลงทุนในประเทศไทย ต้องการหาคู่ค้า อย่างเช่น นิคมอุตสาหกรรม อยากทำธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม มีไปดูนิคมมาบตาพุด ระยอง แหลมฉบัง นอกจากนี้ยังมีธุรกิจยา สมุนไพร อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เกษตร สนใจมาหาทุเรียนไปขาย ท่องเที่ยว โรงแรม พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจสปา พลังงานสะอาด ชิ้นส่วนยานยนต์แบตเตอรี่ รวม 140-150 คน ทั้งจากมณฑลอันฮุย เจียงซู เซี่ยงไฮ้ กว่างโจว ปักกิ่ง เสิ่นเจิ้น เป็นต้น”
มี นายซู หนิงหนิง ประธานคณะกรรมการความร่วมมืออุตสาหกรรม RCEP เป็นหัวหน้าคณะ ส่วนไทยลงทะเบียน 295 ราย มีกลุ่มที่มาเพิ่มลงทะเบียนไม่ทันอีกรวมแล้วน่าจะ 300 กว่าราย ถือว่ามีจำนวนสูงเกินคาด
สัมพันธ์ไทย-จีนหลังเทรดวอร์
ย้อนไปในอดีตในมิติด้านวัฒนธรรม ไทย-จีน มีความสัมพันธ์กันมาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยลพบุรี อยุธยา มาถึงวันนี้การค้าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในช่วงที่สถานการณ์โลกเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง จากในอดีตมีแค่ขั้วเดียว คือ สหรัฐ กับนาโต แต่วันนี้โลกมี 2 ขั้ว และมีกลุ่ม BRIC ที่นำโดยจีน รัสเซีย อินเดีย บราซิล เป็นขั้วใหม่
สงครามความขัดแย้งในด้านความมั่นคง และหลีกเลี่ยงไม่ได้คือการค้าการลงทุนในโลกนี้ ความขัดแย้งนี้กระทบไปยังนานาชาติ รวมถึงประเทศไทยได้รับผลกระทบเช่นกัน แต่โชคดีว่า ไทยกับจีนมีความสัมพันธ์ลักษณะพิเศษ คือ เป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นเงื่อนไขพิเศษที่ทำให้ไทยกับจีน มีความร่วมมือในทุกมิติทุกด้าน
ไทยได้รับผลบวกด้านไหนบ้าง
หลังจากประธานาธิบดีไบเดน ประกาศปรับขึ้นภาษีสินค้า 10 กลุ่ม เมื่อเร็ว ๆ นี้ เช่น อีวี ลิเทียม แผงโซลาร์เซลล์ ส่งผลให้มีการขยับอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอิเล็กทรอนิกส์ เคมีภัณฑ์ มาไทยเยอะมาก เท่าที่ได้พูดคุยตอนนี้ธุรกิจยามีความปรารถนามาไทยมาก สินค้าอุตสาหกรรม คือ อีวี จีนมาแรงมาก การค้าขายรถยนต์สะท้อนให้เห็นว่าโลกเปลี่ยนไปแล้ว และโลกจะยิ่งเปลี่ยนแปลงไปอีก เพราะไปสู่ AI เทคโนโลยีชั้นสูงแล้ว
“วันนี้เราต้องแสดงความยินดีกับคนจีนที่แก้ปัญหาเรื่องคนยากจนได้อย่างสิ้นเชิง ขอแสดงความยินดีกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่เดินทางไปยุโรป ได้รับการต้อนรับจากประเทศฝรั่งเศสแบบยิ่งใหญ่และสมเกียรติ และต้องขอแสดงความยินดีด้วยที่จีนต้อนรับประธานาธิบดีปูตินแห่งรัสเซีย สร้างความสั่นสะเทือนกับทั่วโลก มีฉากที่สำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความแน่นแฟ้นของผู้นำทั้งสอง ซึ่งแน่นอนว่าเราต้องติดตามความขัดแย้งของจีน รัสเซีย อเมริกา นาโตอย่างใกล้ชิด เพราะเรื่องนี้ล้วนแต่มีผลต่อธุรกิจของเรา ไม่ว่าจะในด้านบวกหรือด้านลบ”
ส่งเสริมทุนจีนปักฐานในไทย
“จีนเป็นนักลงทุนอันดับ 1 ของไทย ปีที่แล้วมีการลงทุน 70,000-80,000 ล้านบาท มีโอกาสจะเพิ่มขึ้นปีนี้ทะลุ 1 แสนล้านบาท เพราะมีสัญญาณที่ทุนจีนเข้ามาเยอะมาก ส่วนการค้าของเรา อย่าง 4 เดือนแรก ไทยนำเข้า 100,390 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่งออก 97,000 ล้านเหรียญ เราขาดดุลการค้าประมาณ 6,000 กว่าล้านเหรียญสหรัฐ เราขาดดุลให้ประเทศจีนเป็นส่วนใหญ่”
ไทยขาดดุลจากการนำเข้าสินค้าต้นทุน แสดงว่าเรายังมีขีดความสามารถ มีศักยภาพที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมต่อ และที่สำคัญตอนนี้สินค้าเกษตรมีราคา ข้าวมีกำไร ทุเรียน ซึ่งวันนี้คนจีนอย่ามาถามหาซื้อทุเรียน เพราะถูกคนจีนซื้อไปหมดแล้ว สินค้าเกษตรได้ราคา ในช่วง 4 เดือนแรกไทยส่งออกสินค้าเกษตรมีมูลค่ามากกว่าสินค้าอุตสาหกรรม
มาตรการส่งเสริมการลงทุนต้องมีการยกระดับตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นมาตรการของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) หรือคณะกรรมการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ต้องทำให้ทันสมัยทันกับอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมไฮเทคโนโลยีชั้นสูง อย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) ต้องมีการเพิ่มสิทธิประโยชน์มากขึ้น เหมือนเช่นในสิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม ซึ่งต่างก็มีการปรับปรุงมาตรการตลอด เพราะการลงทุนเป็นชอร์ตเทอม พวกนี้เทคโนโลยีเปลี่ยนเร็ว
ไทยยังได้เปรียบประเทศอื่นอยู่
การปรับมาตรการส่งเสริมการลงทุน เราต้องปรับกฎหมายหรือมาตรการ หรือสร้างแรงจูงใจเพิ่มขึ้นหรือไม่ สิ่งอำนวยความสะดวกนับว่าเป็นสิ่งที่จำเป็น ขณะเดียวกันต้นทุนการผลิต ทั้งค่าแรง ค่าไฟ ค่าน้ำ ราคาวัตถุดิบ ล้วนเป็นสิ่งสำคัญ เพราะนักลงทุนเขาต้องไปลงทุนในจุดที่เขามีกำไร ปลอดภัย และมั่นคง ซึ่งแน่นอนว่าเขาต้องพิจารณาเลือก
ฟังนักลงทุนแล้วไทยยังเป็นศูนย์กลางการลงทุนที่ดีที่สุดในอาเซียน เราติดอยู่ในอันดับโลก เพราะโครงสร้างพื้นฐานของเราในอาเซียนเราเหนือกว่าคนอื่น แต่ไปเทียบสิงคโปร์ เพราะต่างกัน เรามีความแข็งแกร่งกว่าเขาที่เป็นประเทศเล็ก แต่เราเสียเปรียบ คือ แรงงานเราน้อย เพราะเด็กเกิดใหม่เราน้อย ประมาณ 5-6 แสน ไทยมีประชากร 66 ล้านคน เวียดนามไป 100 ล้านคนแล้ว
“ส่วนเรื่องการปรับค่าแรงแม้ว่าจะเป็นการเพิ่มต้นทุน แต่ต้องเห็นใจแรงงานคนยากคนจน ราคาอาหาร ค่าครองชีพ ค่าเช่าบ้าน ค่าก๋วยเตี๋ยว เป็นแบบนี้ค่าแรงควรจะทำเท่าไร เราก็ต้องเห็นใจผู้ใช้แรงงาน ก็ต้องปรับให้สอดคล้องกับความเป็นจริงในการดำรงชีวิต”
ข้อกล่าวหา “สินค้าจีน” ทุ่มตลาด
ผมว่าฝ่ายที่หวังผลทางการเมืองระหว่างประเทศ พยายามปล่อยข่าว ปล่อยคลิป วันนี้คนจีนก็กลัวสินค้าไทย เห็นได้จากสัปดาห์ก่อนผมเพิ่งนำสินค้าไทยไปจัดแสดงที่เสิ่นเจิ้น สินค้าหมดภายใน 2 วัน สปาคนเข้าแถวคิวยาว เพราะสินค้าไทยมีมาตรฐาน เป็นที่ยอมรับ ที่อาเซียนในเอเชีย จะเห็นได้ว่าในเวียดนาม อินเดีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย รวมถึงจีน เขามองว่าสินค้าไทยเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยม มีคุณภาพน่าเชื่อถือ อันนี้ต้องยอมรับว่าเราไปไกลมากแล้ว
“หากถามว่าจะต้องรับมือสินค้าทะลัก คือ ยังไม่เข้าใจในบริบทที่ว่า ไทยมีกฎหมายอยู่แล้ว ในเรื่องการอนุญาต ในการทำ EIA เรื่องน้ำเสีย เรื่องระบบอากาศ หรือการผลิตที่ปล่อยมลพิษ เรื่องคุณภาพสินค้า ขอเพียงให้เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย วันนี้โลกมันเปลี่ยนขั้ว ทำให้มีสงครามข่าวสารโจมตีกัน ฉะนั้น ต้องพิจารณาว่าข่าวมันจริงหรือไม่ สินค้าที่นำเข้ามา”
มั่นใจจุดแข็งประเทศไทย
สุดท้าย “พินิจ” ย้ำว่า ไทย-จีนมีการเพิ่มพูน แต่ไม่ใช่ควรเพิ่มเฉพาะตัวเลขอย่างเดียว ต้องเพิ่มเรื่องคุณภาพ ศักยภาพการแข่งขันของไทยให้ไทยแข่งขันได้ในอาเซียน วันนี้ไทยมีจุดแข็งมากมาย มีสิ่งอำนวยความสะดวกและสิทธิประโยชน์ให้นักลงทุนต่างประเทศจำนวนมาก
ผมเห็นคนจีนมาทำธุรกิจในไทยจำนวนมาก คนจีนที่ดีผมนับถือ แต่นักลงทุนจีนที่ไม่ได้ทำตามกฎหมายไทย “จีนสีเทา” ก็มีเยอะ ล้วนแต่ทำให้เกิดปัญหากับประเทศไทย ในตรงกันข้ามนักลงทุนไทยดีเยอะมาก แต่คนไทยที่เอาแต่ได้ ไม่มีคุณธรรม ไม่มีความรับผิดชอบก็เยอะ ดังนั้นขอให้คนจีนระมัดระวังเรื่องการร่วมมือในการค้าขายด้วย
“ไม่ว่าจะไปในประเทศไหน ถ้าไปเจอพ่อค้าที่ไม่ดี จะนำความเสียหายตามมา ตัวเลขของเราสะท้อนว่า สภารับเรื่องร้องเรียนเรื่องแบบนี้ จากคนจีนที่มีปัญหากับพ่อค้าไทย ไม่รู้กฎหมาย ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายของไทยก็เกิดความเสียหาย”